เกณฑ์ในการวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อม (ของ DSM
IV)
1.
มีความผิดปกติของความจำ (memory impairment)
2.
มีความผิดปกติอย่างน้อย 1 ข้อในสิ่งเหล่านี้คือ
1.1
ความผิดปกติของการใช้ภาษา (aphasia) เช่นนึกคำพูดไม่ออกความเข้าใจภาษาลดลง
1.2
การสูญเสียทักษะในการทำกิจกรรม (apraxia) เช่นไม่สามารถแปรงฟันหวีผมได้ตอกตะปูไม่เป็นเป็นต้นโดยที่ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของ
motor system และ extrapyramidal system
1.3
การไม่รับรู้ในสิ่งที่เคยรู้มาก่อน (agnosia) เช่นเห็นสิ่งของแล้วไม่รู้ว่าคืออะไรไม่รู้ว่าใช้สำหรับทำอะไรเห็นหน้าคนคุ้นเคยแต่นึกหน้าไม่ออกเป็นต้น
1.4
ความผิดปกติในการบริหารจัดการ (disturbance of executive function) เช่นความผิดปกติในการวางแผนงาน
(planning) การตัดสินใจ (judgment) จัดระบบงาน
(organizing) เรียงลำดับงาน (sequencing) และคิดอย่างเป็นนามธรรม
(abstract thinking)
2.
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในข้อ 1 และ 2 มีมากถึงกับส่งผลกระทบต่อความสามารถทางสังคมและอาชีพและมีระดับความสามารถที่ลดลงจากเดิม
3.
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ในช่วงที่ delirium และไม่สามารถอธิบายได้ด้วยสาเหตุอื่นๆ
ขั้นตอนการประเมินผู้ป่วยที่สงสัยว่ามีภาวะสมองเสื่อมก่อนที่จะตรวจค้นเพิ่มเติมทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจเบื้องต้นสำหรับภาวะสมองเสื่อม
เบื้องต้นประเมินผู้ป่วยโดยใช้ Mini-Mental State Examination : MMSE ซึ่งถ้าได้ค่าต่ำกว่า
23/24 จาก 30 คะแนนถือว่ามีความผิดปกติทางด้านสุขภาพจิต ในประเทศไทยได้มีพัฒนาการตรวจ เช่น Thai
Mental State Examination(TMSE), Chula Mental test (CMT) และแบบทดสอบสภาพสมองเบื้องต้นฉบับภาษาไทย
(MMSE-Thai 2002)
การตรวจอื่นๆ ได้แก่ ตรวจเลือด : CBC,
BUN, Cr, LFT , electrolyte, Calcium, thyroid function test, B12 และfolate
level +/- HIV test, Syphilis serology, CSF exam, EEG, PET or SPECT , CT Brain or ตรวจ MRI brain
การดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมแบ่งการดูแลด้านต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับการดูแลได้ดังนี้
1.
การดูแลด้านกิจวัตรประจำวัน
- การกินอาหาร
: ไม่ให้อาหารร้อนเกินไป
แบ่งอาหารให้สะดวกที่จะเอาเข้าปาก ช้อน ส้อมด้ามใหญ่จับง่าย
- การเคลื่อนที่และเคลื่อนย้าย
: เลือกเวลา
ทางเดินให้ปลอดภัย ใช้อุปกรณ์ช่วยเดินที่ไม่สลับซับซ้อน
- การควบคุมระบบการขับถ่ายและการใช้ห้องน้ำ :
ปรับแต่งให้ห้องน้ำใช้ได้สะดวก มองหา และไปถึงง่าย ฝึกขับถ่ายเป็นเวลาเดียวกันทุกวัน ถ้ากลั้นปัสสาวะไม่ได้อาจกำหนดเวลาไปห้องน้ำเป็นระยะแม้จะยังไม่รู้สึกปวด
- การทำความสะอาดร่างกาย
: ใช้อุปกรณ์ที่คุ้นเคยและไม่สลับซับซ้อน ระวังน้ำร้อนลวก
ให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน
- การแต่งกาย
:
ให้เลือกเครื่องแต่งกายเองจนกว่าจะทำเองไม่ได้ จัดเตรียมเสื้อผ้าที่สะดวกในการใส่
ถอด และทำความสะอาดให้แนวทางในการจัดเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับกาลเทศะ แต่ต้องมีความยืดหยุ่นด้วย
2.
การดูแลด้านพฤติกรรมและอาการทางจิต BPSD
การรักษาBPSD แบบไม่ใช้ยา
- ดูว่าผู้ป่วยมีความผิดปกติทางจิตเวชอยู่เดิมหรือมีภาวะ
deliriumหรือไม่ ถ้ามีให้รักษาไปด้วย
- แนะนำให้ผู้ดูแลพยายามทำความเข้าใจถึงอารมณ์ของผู้ป่วย ไม่ควรทะเลาะกับผู้ป่วย
ให้เบี่ยงเบนความสนใจไปหาสิ่งอื่นแทน เปิดดนตรีเบาๆ พูดคุย
ให้ทำกิจกรรมที่ผู้ป่วยชอบทำ
สังเกตปัจจัยที่ทำให้ดีขึ้น/แย่ลง
- จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ คุ้นเคย
สะดวกสบาย และจัดกิจวัตรประจำวันไม่ให้ผู้ป่วยเหนื่อยเกินไปในเวลากลางวัน(Sundowning
)
การรักษาBPSD แบบใช้ยา
- Depression ใช้ยากลุ่ม short-acting
SSRI eg. Sertraline
- Psychosis: Delusions and
hallucinations เลือกใช้ atypical antipsychotic 1st choice dementia
without Parkinsonism คือ Risperidone 0.5-1 mg/day เนื่องจาก S/E น้อยสุดไม่ควรใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน เมื่อผู้ป่วยเริ่มดีขึ้น ควรค่อยๆ
ลดยาร่วมกับหาทางปรับเปลี่ยนปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่ออาการ
- Apathy ควรเลือกการปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมก่อน เช่น
ให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมที่ผู้ป่วยชอบ
ให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกสิ่งของต่างๆ
หากจำเป็นให้ใช้ยา Methylphenidate
- Agitation and Aggression ควรหาสาเหตุและแก้ไขที่สาเหตุก่อนให้ยากลุ่ม
Antipsychotic เช่นเดียวกับอาการหลงผิดประสาทหลอนอาจให้ยากลุ่ม
short-acting Benzodiazepine หากผู้ป่วยมีความกังวลมาก
3.
การดูแลด้านความจำและการเรียนรู้
การรักษาโดยไม่ใช้ยา
- เน้นเรื่องความจำและการเรียนรู้
(Cognition-oriented management)
¤
Reality orientation : รับรู้ตามความเป็นจริง
เข่น วัน เวลา สถานที่ บุคคล
¤
Memory training : การฝึกความจำ
¤
Skill training : การฝึกทักษะ
เพื่อรักษาทักษะที่จำเป็นให้คงอยู่ และฝึกทักษะใหม่ๆ ที่ไม่ยากเกินไป
- เน้นเรื่องอารมณ์
(Emotion-oriented management)
¤
Reminiscence therapy : การรำลึกอดีต ควรทำต่อเนื่องวันละครั้งหรือสัปดาห์ละครั้ง
ช่วยปรับอารมณ์ พฤติกรรม ความจำให้ดีขึ้น และลดความเครียดของผู้ดูแล
¤
Validation therapy : การให้ความสำคัญกับผู้ป่วย
ตั้งใจฟังและเคารพต่อสิ่งที่ผู้ป่วยพูด ไม่ทะเลาะหรือขัดแย้งกับผู้ป่วย
¤
Sensory integration : การใช้ประสาทสัมผัส 3 ด้าน ได้แก่ การสัมผัส
การมองเห็น การได้ยิน เช่น นวด ฟังเพลง ดูรูปถ่าย รูปภาพ
- เน้นการกระตุ้น
(Stimulation-oriented management)
¤
Recreation therapy : การใช้กิจกรรมสันทนาการ
เช่น เล่นเกมส์, งานฝีมือ, ดนตรี, วาดรูป ช่วยให้การเรียนรู้และอารมณ์ของผู้ป่วยดีขึ้น
การรักษาโดยใช้ยา
1.
Cholinesterase inhibitors (ChEI) ใช้ในกลุ่ม mild to
moderate dementia ทำให้ความจำ การเรียนรู้ พฤติกรรม และการดูแลผู้ป่วยดีขึ้นบ้างและช่วยให้การดำเนินโรคช้าลง**ห้ามให้ในคนที่มีLBBB และระวังในผู้ป่วยที่ได้ยากลุ่ม B-blocker
หรือ CCB อยู่ด้วย โดยยาที่มีใช้ในไทย Donepezil, Rivastigmine, Galantamine
2.
Memantineเป็น
NMDA receptor antagonistมีประโยชน์ในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ระดับปานกลางถึงรุนแรงไม่ค่อยมีผลใน
vascular dementia มีประโยชน์ระยะสั้น 6 เดือน,
S/E : dizziness
3. ยาอื่นๆ ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและทดลอง ได้แก่สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน A, วิตามิน C, วิตามิน E, ซีลีเนียม และแป๊ะก๊วย(Ginkgo)
4.
การดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ผู้ป่วยอาศัย
ใช้หลักการ INHOMESSSดังนี้
·
Immobility : ทำให้ทางเดิน
พื้น บันได โล่ง สะดวกต่อการเดิน
·
Nutrition : ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่
·
Housing : จัดห้องนอนอยู่ใกล้ห้องน้ำและควรอยู่ชั้นล่าง,
ห้องน้ำแยกส่วนแห้งส่วนเปียกเพื่อป้องกันการลื่น, มีราวสำหรับจับเกาะ,
ไม่มีธรณีประตูหรือทางลาดในห้องน้ำ ไม่ควรใช้กลอนแบบล็อคจากด้านในและควรมีล็อคประตูที่ป้องกันการออกจากบ้านของผู้ป่วย
·
Other people : ไม่ควรให้ผู้ป่วยอยู่ตามลำพัง
ไม่ควรเปลี่ยนผู้ดูแลบ่อยๆ
·
Medication : ยาและสารเคมี จัดเก็บไว้ในที่มิดชิด
·
Environment: ให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคยสีห้องและม่านควรเป็นสีโทนเดียวสบายตาไม่มีลวดลายควรมีนาฬิกาและปฏิทินที่มีตัวเลขขนาดใหญ่ มองเห็นได้ชัดเจนมีรูปสมาชิกครอบครัวภายในบ้าน
·
Safety: ป้องกันไฟไหม้
น้ำร้อนลวกจากอุปกรณ์ต่าง ๆ เก็บสิ่งของชิ้นเล็กๆ ที่อาจเอาเข้าปากและจมูก
ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายได้ใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มั่นคง ไม่ลื่น
เลี่ยงสิ่งของที่มีล้อ
5.
การดูแลครอบครัวและผู้ดูแลผู้ป่วย (ดูหัวข้อต่อไป)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น